วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2554

วิธีลดความเสี่ยงต่อการติดสปายแวร์

spyware มักจะมาในรูปแบบของป้ายโฆษณา หรือเป็นโปรแกรมที่จะแสดงข้อความขอนุฐาตติดตั้งในเครื่อง ซึ่งหากคุณไม่ต้องการให้สปายแวร์เหล่านี้เข้ามาแฝงตัวในเเครื่อง ควรทำดังนี้

  1. ไม่คลิกป้ายโฆษณาใดๆ ที่แสดงในหน้าจอ
  2. ไม่ว่าป้ายโฆษณาจะแสดงปุ่ม Yes หรือ No ก็ไม่ควรไปคลิก เพราะมักจะเป็นลิงค์เดียวกัน แนะนำให้คุณคลิกปุ่มปิด (close) เพื่อปิดหน้าต่างนั้นไป
  3. ไม่ควรคลิกลิงค์บนรูป ปุ่ม หรือข้อความที่เขียนว่า ดาวนโหลดฟรี หรือข้อความโฆษณาชวนเชื่อเกินจริงเพราะมักจะมี spyware แถมเมื่อคุณคลิกเข้าไปแล้ว
  4. หากมีหน้าต่าง security warning ขึ้้นมาขออนุญาตให้คุณติดตั้งโปรกแกรม คุณควรอ่านข้อความให้ดี ว่าเป็นโปรแกรมที่จำเป็นหรือไม่ เพราะคุณอาจถูกหลอกให้ติดตั้ง spyware ลงในเครื่องคุณได้
  5. หากมีหน้าต่างแสดงข้อความให้ไปดาวน์โหลดโปรแกรมป้องกัน spyware อย่าคลิก เพราะป้ายโฆษณานั้นคือ spyware
  6. เมื่อได้รับอีเมลล์โฆษณาจากคนที่ไม่รู้จัก อย่าคลิกลิงค์ในอีเมลล์เด็ดขาด
  7. ถึงแม้เมลล์ที่ส่งมาจากเมลล์คนที่รู้จัก แต่เป็นลิงค์ที่ไม่น่าไว้ใจ เช่น ไม่มีคำเกริ่นนำ หรือมีข้อความประกอบที่ไม่รู้เรื่อง หรือเป็นข้อความที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนที่เรารู้จักนั้น ให้สงสัยไว้ก่อนว่าเป็น spyware ไม่ควรคลิกลิงค์จากอีเมลล์นั้น
ที่แนะนำมาทั้งหมด เป็นวิธีลดความเสี่ยง ไม่ให้มี spyware เข้ามาติดตั้งในเครื่องคุณ และเพื่อเพิ่มความปลอดภัย ควรติดตั้งโปรกแกรมป้องกัน spyware หรือที่เรียกว่า Anti-spyware ที่น่าเชื่อถือลงในเครื่องของท่าน

วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2554

spyware คืออะไร มาหาคำตอบกัน

สปายแวร์ (spyware) คือ โปรแกรมที่คอยเข้ามาสอดส่องดูการใช้งานเครื่อง รวบรวมข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน หรือเปลี่ยนค่าบางอย่างในเครื่องโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต อาการที่บ่งบอก มีดังต่อไปนี้

  • มี pop-up โฆษณาโผล่ขึ้นมา ถึงแม้จะไม่ได้ต่อ internet
  • เมื่อเปิด browser หน้า home หรือหน้าแรกจะเปลี่ยนไปโดยที่คุณไม่ได้กำหนดเอง
  • มี toolbar แบบใหม่ปรากฏอยู่บน browser และทำการลบออกได้ยาก
  • เครื่อง computer ประมวลผลนานกว่าปกติ
  • computer เกิดอาการ hank บ่อยขึ้น
ปัจจุบัน spyware ไม่ได้เพียงแค่รบกวนการทำงานของคุณด้วยโฆษณาเท่านั้น spyware บางตัวยังสามารถขโมยข้อมูลสำคัญของคุณได้อีกด้วย เช่น ข้อมูลบัตรเครดิต หรือข้อมูลสำหรับทำธุรกรรมออนไลน์ต่างๆ เป็นต้น 



ปัญหาที่เกิดจาก spyware สามารถสรุปคร่าวๆ ได้ดังนี้
  • ก่อกวนการทำงานของระบบ ทำให้เครื่องทำงานช้าลง
  • ทำให้เปิดเว็บต่างๆ ได้ช้า หรือเปิดไม่ได้
  • หน้าต่างแสดงข้อผิดพลาดของระบบปฏิบัติการแสดงขึ้นมาบ่อยๆ
  • เครื่องทำงานช้าลงมาก ทำให้บันทึกไฟล์ทำได้ลำบาก
  • ข้อมูลอาจถูกขโมย โดยที่เราอาจไม่รู้ตัว และหากข้อมูลเหล่านั้นเป็นข้อมูลบัตรเครดิต คุณอาจถูกนำข้อมูลนั้นไปทำธุรกรรมโดยไม่รู้ตัว

วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2554

วิธีป้องกันภัยจากไวรัสคอมพิวเตอร์



เมื่อคุณต่อ internet ภัยร้ายจากเหล่าไวรัสคอมพิวเตอร์ ก็อาจเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณได้ และผู้อื่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องของคุณติดไวรัสได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้น การเรียนรู้วิธีป้องกันและระแวดระวังภัยจากไวรัส จึงเป็นสิ่งที่สำคัญสภหรับผู้ใช้คอมพิวเตอร์ถึงปฏิบัติ
  1. ติดตั้งโปรแกรม antivirus และหมั่นอัพเดทฐานข้อมูลของไวรัส
  2. ไม่นำสื่อบันทึกข้อมูล ไปใช้งานกับเครื่องที่ไม่มีโปรแกรม antivirus
  3. ไม่ดาวน์โหลดไฟล์ที่ มาพร้อมกับอีเมลล์จากคนที่ไม่รู้จัก
  4. ไม่ download โปรแกรมหรือ ไฟล์จากเว็บที่ไม่น่าเชื่อถือ
  5. สำรองข้อมูลสำคัญไว้เสมอ
  6. สแกน และกำจัดไวรัสอย่างสม่ำเสมอ
  7. อย่าให้ผู้ื่อื่นเข้ามาใช้เครื่องของคุณได้ง่ายๆ
ที่สำคัญ ช่วงหลังนี้ระวังภัยไวรัสที่มาจากอีเมลล์หลอกลวงกันให้มากครับ บางครั้งเป็นเมลล์ของคนที่เรารู้จัก แต่ส่งลิงค์แปลกๆ มาให้ ก็อย่าได้เผลอคลิกเข้าไป วิธีสังเกตุ เช่น ปกติเพื่อนคนที่เรารู้จักเขาส่งแต่เมลล์ที่มีเนื้อหาภาษาไทย แต่วันหนึ่งเขาส่งเมลล์มาให้เราเป็นภาษาอังกฤษ และมีให้ดาวน์โหลดไฟล์แปลกๆ ก็ให้เอะใจไว้ก่อนว่า ไม่ใช่เพื่อนเราที่ส่งมาให้ครับ เพราะสมัยนี้ การปลอมอีเมลล์ที่จะส่งข้อมูลมาให้นั้น ทำได้ไม่ยากเลย

สาเหตุที่ทำให้คอมพิวเตอร์ติดไวรัส

ไวรัสนั้นส่งผ่านมาตามเครือข่าย internet แต่สาเหตุส่วนใหญ่ ที่ทำให้ไวรัสแพร่กระจาย คือ ผู้ใช้งาน นำแผ่น disk, CD, DVD หรือ flash drive ไปใช้งานกับเครื่องที่ติดไวรัส หรืออาจนำสื่อข้อมูลที่มีไวรัสมาใช้งานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ไวรัสนั้น ก็จะเข้าไปฝังตัวอยู่ในหน่วยความจำของเครื่อง และหากมีการนำสื่อบันทึกข้อมูลเหล่านั้น ไปใช้กับเครื่องอื่นๆ อีก ไวรัสก็จะยิ่งแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนในระบบเครือข่าวย ไวรัสสามารถแพร่กระจายได้ด้วยสาเหตุดังต่อไปนี้



1. มีการเรียกใช้งานไฟล์ที่มีไวรัสคอมพิวเตอร์ฝังอยู่ เนื่องจากผู้ใช้งานไม่ทราบว่า โปรแกรม หรือไฟล์ที่เรียกใช้งาน มีไวรัสแฟงอยู่ เมื่อเรียกใช้งานโปรแกรม ไวรัสก็จะเริ่มทำงานทันที มักพบได้หลายรูปแบบ เช่น ที่แฝงมาในรูปแบบการ์ดอวยพร หรือในรูปแบบลิงค์ในอีเมลล์ ที่หลอกให้ผู้ใช้งานคลิกเพื่อเรียกใช้งาน

2. ระบบที่ไม่มีการติดตั้งโปรแกรม antivirus หรือมีการติดตั้ง antivirus แต่ไม่ได้ update ฐานข้อมูลไวรัส การที่ไม่ได้ update ฐานข้อมูลไวรัส ทำให้ไม่สามารถตรวจจับไวรัสชนิดใหม่ๆ ที่ระยะหลังๆ มีการพัฒนาไปมาก ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ระบบนั้นๆ ติดไวรัสได้โดยผู้ใช้งานไม่รู้ตัว

3. ระบบปฏิบัติการมีช่องโหว่ พร้อมทั้งมีการเชื่อมต่อกับเครือข่าย ในความเป็นจริง ระบบปฏิบัติการและโปรแกรม มักมีช่องโหว่อยู่แล้ว อย่างในกรณีที่ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ใช้ระบบปฏิบัติการ Microsoft windows ก็ควรหมั่นเข้าไปตรวจสอบช่องโหว่ดังกล่าว ได้กับเวบไซต์ผู้ให้บริการอย่างสม่ำเสมอ เช่น http://windowsupdate.microsoft.com เป็นต้น

เดี๋ยวบทความหน้ามาต่อกันด้วยสารพัดวิธีง่ายๆ ในการป้องกันไวรัส นะครับ

วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2554

อาการของคอมพิวเตอร์ที่โดนไวรัสเล่นงาน

เมื่อทราบสาเหตุที่ทำให้คอมพิวเตอร์ติดไวรัสแล้ว บางท่านอาจสงสัยว่าทำอย่างไร ถึงจะรู้ได้ว่าเครื่องติดไวรัสเข้าแล้ว
ในเบื้องต้น ให้คุณเปรียบเทียบคุณภาพการทำงานของเครื่องในอดิตกับ การทำงานในปัจจุบันก่อน ว่ามีความแตกต่างกันมาหรือไม่ เครื่องทำงานช้า ติดขัด หรือมีอาการแปลกๆ อะไรบ้าง ซึ่งอาการที่คาดว่ามีสาเหตุจากไวรัส มีดังนี้

  1. เครื่องทำงานช้ากว่าปกติ เช่น boot เครื่องช้า เรียกไฟล์ทำงานได้ช้า 
  2. คอมพิวเตอร์หยุดทำงานโดยไม่ทราบสาเหตุ
  3. ข้อมูลหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ
  4. ส่งเสียงหรือข่าวสารแปลกๆ ออกมา
  5. drive หรือ Hard disk หยุดทำงานโดยไม่ทราบสาเหตุ
  6. ไฟล์ใน disk หรือ Hard disk ถูกเปลี่ยนเป็นไฟล์ขยะ
  7. เครื่องทำงานช้าลง และใช้เวลานานมากในการเรียกโปรแกรมใดๆ ขึ้นมาทำงาน
  8. ขนาดของโปรแกรมใหญ่ขึ้นอย่างผิดปกติ
  9. วันเวลาของโปรแกรมเปลี่ยนไป
  10. ข้อความที่ปกติไม่ค่อยได้เห็น แสดงขึ้นมาบ่อยๆ
  11. แสดงอักษรหรือข้อความประหลาดบนหน้าจอ
  12. เครื่องส่งเสียงออกทางลำโพงโดยไม่ได้เกิดจากโปรแกรมใดๆ ที่ใช้อยู่
  13. keyboard ทำงานผิดปกติ หรือไม่ทำงานเลย
  14. ขนาดของหน่วยความจำที่เหลือน้อยกว่าปกติ โดยหาสาเหตุไม่ได้
  15. ไฟล์แสดงสถานะการทำงานของ disk ติดค้างนานกว่าที่เคยเป็น
  16. ไฟล์ข้อมูล โปรแกรม หรือรายการเมนูที่เคยใช้ หายไป
  17. เครื่อง restart โดยไม่ได้สั่ง

เมื่อท่านทราบแน่ชัดแล้ว่า เครื่องของท่านติดไวรัสเข้าให้แล้ว ก็ควรที่จะหาทางกำจัดไวรัส และป้องกัน เพื่อให้เครื่องของท่านใช้งานได้อย่างราบรื่น โดยไม่ต้องล้างเครื่องติดตั้ง windows ใหม่กันบ่อยๆ

วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2554

รู้จักมัลแวร์ (Malware)

บทความก่อนหน้านี้ได้เขียนเกี่ยวกับไวรัสไปแล้ว ถ้าพูดถึงมัลแวร์ (Malware) เป็นการบัญญัติศัพท์ใหม่ขึ้นมาเนื่องจากเมื่อเวลาผ่านไป ไวรัสได้พัฒนารูปแบบ และเปลี่ยนแปลงวิธีการกระจาย รวมถึงความรุนแรงให้แตกต่างไปจากนิยามเดิม จึงเป็นทีมาของการบัญญัติศัพท์คำนี้ขึ้น

Malware เรียกเต็มๆ ว่า Malicious Software คือ โปรแกรมที่ถูกออกแบบมาเพื่อสรัางความเสียหายให้แก่คอมพิวเตอร์ หรือระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ มีความสามารถในการเคลื่อนที่จากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง ไปยังอีกเครื่องหนึ่ง หรือจากเครือข่ายหนึ่งไปยังอีกเครือข่ายหนึ่งได้ เช่น ไวรัสคอมพิวเตอร์ หนอนอินเตอร์เน็ต (Worm), ม้าโทรจัน (Trojan) เป็นต้น



Worm หรือ หนอนอินเตอร์เน็ต จะมีลักษณะคล้ายไวรัสคือ เป็นโปรแกรมที่มีการออกแบบมาให้คัดลอกตัวเองไปยังคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งได้ โดยอาศัยอีเมลล์ ช่องโหว่ของระบบปฏิบัติการ และระบบเครือข่ายที่ไม่มีการป้องกัน ส่งผลให้การใช้งานอินเตอร์เน็ตในเครือข่าย ช้าลงไปด้วย

Phishing หรือ โจรขโมยข้อมูล คือรูปแบบการโจรกรรมข้อมูลด้วยวิธีที่เรียกว่า Social Engineering คือการใช้วิธีชักชวนทุกรูปแบบ เพื่อหลอกลวงเอาข้อมูลที่มีค่า เช่น ข้อมูลบัตรเครดิต รหัสผ่าน ซึ่งอาจจะมาในรูปแบบอีเมลล์หลอกลวง หรือหน้าเว็บไซต์ที่ให้ทำธุรกรรมลวง เป็นต้น

Rootkt หรือ ตัวรุกรานระบบปฏิบัติการ เป็นโปรแกรมที่สร้างมาเพื่อคุกคามระบบปฏิบัติการ และเพื่อให้ได้สิทธิ เหมือนกับเป็นผู้ควบคุมระบบ

Keylogger โปรแกรมขโมยรหัสผ่าน เป็นโปรแกรมที่จะแอบติดตั้งเข้าไปในเครื่องและจะบันทึกข้อมูล การกดปุ่ม keyboard ของผู้ใช้งานไว้ และส่งกลับให้ hacker

Hoak หรือไวรัสหลอกลวง มักจะมาในรูปแบบอีเมลล์ ซึ่งหาทางป้องกันได้ยาก เพราะจะมาในลักษณะเมลล์ข่าวสำคัญที่ไม่เป็นความจริง และยังอ้างถึงบริษัทหรือทีมงานที่น่าเชื่อถือ เช่น อ้างถึงบริษัท ไมโครซอฟท์ เป็นต้น

วันนี้ขอจบเรื่องของมัลล์แวร์ไว้เท่านี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวบทความหน้า เราจะลองมาดูอาการเบื้องต้นกันว่า เวลาเรื่องเราติดไวรัส จะมีอาการอย่างไรกันบ้าง

วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ไวรัสคอมพิวเตอร์คืออะไร มาดูกัน

อุตสาห์ทำ blog อธิบายวิธีการใช้งาน antivirus ต่างๆ แต่จะไม่เขียนเกี่ยวกับ basic เลยก็กระไรครับ ขอเขียนอธิบายไว้ก่อนกันลืม



ไวรัสคอมพิวเตอร์คืออะไร โดย ไวรัส ในความหมายทั่วไป ก็คือเชื้อโรคที่ทำลายสุขภาพของคนหรือสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตต่างๆ แต่สำหรับไวรัสคอมพิวเตอร์นั้น หมายถึงโปรแกรมที่มีผู้เขียนขึ้นมาเพื่อขัดขวาง ทำลาย และก่อกวนระบบการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น ขัดขวางการทำงานของหน่อยความจำ ทำให้เปิดแฟ้มข้อมูลใน Hard disk ไม่ได้ เป็นต้น

ความสามารถพื้นฐานของไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ สามารถติดต่อไปยังโปรแกรมอื่นๆ และ copy ตัวมันเองได้ และมักจะมีการปรับเปลี่ยนลักษณะในทุกๆ ครั้งที่ copy ตัวมันเอง เพื่อจะพยายามหลบซ่อนการตรวจจับ หรือแสร้งทำตัวเป็นไฟล์สำคัญของระบบปฏบัติการ ซึ่งระบบจะซ่อนไฟล์เหล่านี้ไว้ ไม่ให้ผู้ใช้งานพบเจอหรือลบออกไปได้ง่าย

ประเภทของไวรัสคอมพิวเตอร์ แบ่งออกเป็น 5 ประเภท คือ
1. Boot Sector Virus คือ ไวรัสที่แฝงตัวอยู่ใน boot sector (ส่วนของ Hard Disk ที่จะอ่านก่อนข้อมูลอื่น) โดยไวรัสกลุ่มนี้มักจะไปรบกวนการทำงานของเครื่องเมื่อมีการ boot เครื่องใหม่
2. Program Viruses หรือ File Infector Viruses เป็นไวรัสที่แผงตัวติดอยู่กับไฟล์โปรแกรม
3. Polymorphic Viruses เป็นไวรัสที่เปลี่ยนแปลงตัวเองได้เมื่อมีการ copy เกิดขึ้น
4. Macro Viruses เป็นไวรัสที่แผงตัวติดกับไฟล์ต้นแบบ (Template) ในการสร้างเอกสารต่างๆ
5. Stealth Viruses เป็นไวรัสที่สามารถซ่อนตัวจากการถูกตรวจจับได้ ถ้าโปรแกรมใดติดไวรัสแล้ว จะทำให้ขนาดโปรแกรมนั้นใหญ่ขึ้น และไม่สามารถดูขนาดที่แท้จริงของโปรแกรมที่เพิ่มขึ้นได้